Month: สิงหาคม 2022

ส่งต่อความจริง

เมื่อไม่สามารถพบหน้าหลานๆได้ด้วยตนเองเนื่องจากเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ปู่ย่าตายายจำนวนมากจึงหาวิธีการใหม่ๆที่จะติดต่อกับหลานๆในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด 19 จากการสำรวจเมื่อเร็วๆนี้พบว่าปู่ย่าตายายหลายคนใช้การส่งข้อความและสื่อสังคมออนไลน์เพื่อรักษาสายสัมพันธ์อันมีค่ากับหลานๆ บางคนถึงกับนมัสการร่วมกันกับครอบครัวใหญ่ของพวกเขาผ่านวิดีโอคอล

หนึ่งในวิธีอันยอดเยี่ยมที่พ่อแม่และปู่ย่าตายายจะมีอิทธิพลต่อบุตรหลานของตนได้ก็คือ การส่งต่อความจริงในพระคัมภีร์ ในเฉลยธรรมบัญญัติบทที่ 4 โมเสสได้กำชับประชากรของพระเจ้า “ไม่ให้ลืมสิ่งซึ่งนัยน์ตาได้เห็นนั้น” หรือ ให้ “สิ่งเหล่านั้นประลาตเสียจากใจ [ของพวกเขา]” (ข้อ 9) ท่านยังกล่าวต่อไปว่า การแบ่งปันสิ่งเหล่านี้กับลูกหลานจะช่วยให้พวกเขาเรียนรู้การ “ยำเกรง” พระองค์ (ข้อ 10) และดำเนินชีวิตตามความจริงของพระองค์ในแผ่นดินที่พระองค์ประทานแก่พวกเขา

ความสัมพันธ์ที่พระเจ้าประทานให้เรามีกับครอบครัวและเพื่อนฝูงนั้นก็เพื่อให้เรามีความสุข พระเจ้าทรงออกแบบครอบครัวมาเพื่อให้เป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดพระปัญญาของพระองค์จากรุ่นสู่รุ่น โดยการ “อบรม [พวกเขา] ในทางธรรม” และเตรียมพวกเขาให้พร้อมสำหรับ “การดีทุกอย่าง” (2 ทธ.3:16-17) เมื่อเราแบ่งปันความจริงและการงานของพระเจ้าในชีวิตของเรากับคนรุ่นต่อไป ไม่ว่าจะโดยการส่งข้อความ การโทร วีดิโอคอล หรือการสนทนากันแบบหน้าต่อหน้า เราก็ได้ฝึกพวกเขาให้เห็นและชื่นชมในพระหัตถกิจของพระเจ้าในชีวิตของพวกเขาเอง

บ้านสองหลัง

เพื่อทดสอบความมั่นคงของบ้านสองหลัง วิศวกรได้จำลองพายุเฮอริเคนระดับ 3 โดยการเปิดพัดลมซึ่งสามารถผลิตกระแสลมที่มีความเร็วถึง 100 ไมล์ต่อชั่วโมงเป็นเวลาสิบนาที บ้านหลังแรกไม่ได้ถูกสร้างขึ้นตามมาตรฐานสำหรับรองรับพายุเฮอริเคน ขณะที่บ้านอีกหลังมีการเสริมหลังคาและพื้นให้แข็งแรงขึ้น บ้านหลังแรกสั่นสะเทือนและพังลงมาในที่สุด แต่บ้านหลังที่สองอยู่รอดมาได้โดยมีความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น วิศวกรคนหนึ่งสรุปผลการศึกษาโดยถามว่า “คุณอยากอยู่บ้านหลังไหนมากกว่ากัน”

พระเยซูทรงสรุปคำสอนเกี่ยวกับค่านิยมของการดำเนินชีวิตในอาณาจักรของพระเจ้า โดยบอกว่า “ผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา” (มธ.7:24) เมื่อพายุพัดมาบ้านนั้นก็ยังตั้งอยู่ได้ ในทางตรงกันข้ามคนที่ได้ยินแต่ไม่เชื่อฟัง “ก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทราย” (ข้อ 26) เมื่อพายุพัดมาบ้านก็พังทลายลงภายใต้ความรุนแรงของพายุ พระเยซูทรงเสนอสองทางเลือกให้กับผู้ฟังของพระองค์คือ สร้างชีวิตของคุณบนรากฐานที่มั่นคงแห่งการเชื่อฟังพระองค์ หรือบนทรายที่ไม่มั่นคงโดยการทำตามวิถีทางของคุณเอง

เราเองก็ต้องเลือกเช่นกัน เราจะสร้างชีวิตของเราบนพระเยซูและเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์ หรือจะไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระองค์ โดยความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราสามารถเลือกที่จะสร้างชีวิตของเราบนพระคริสต์

คนพเนจรที่ส่องสว่าง

ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนของฤดูใบไม้ผลิปี 2020 นักเล่นกระดานโต้คลื่นได้โต้คลื่นที่เรืองแสงไปตามชายฝั่งของเมืองซานดิเอโก การแสดงแสงสีเหล่านี้เกิดจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่เรียกว่าแพลงก์ตอนพืช ซึ่งมาจากคำภาษากรีกที่แปลว่า “คนเร่ร่อน” หรือ “คนพเนจร” ในช่วงกลางวันสิ่งมีชีวิตชนิดนี้จะทำให้กระแสน้ำเป็นสีแดง และมันจะดูดจับแสงอาทิตย์และเปลี่ยนให้เป็นพลังงานเคมี เมื่อถูกรบกวนในความมืดมันจะสร้างแสงสีน้ำเงินขึ้น

ผู้เชื่อในพระเยซูเป็นพลเมืองสวรรค์ ซึ่งเหมือนกับสาหร่ายสีแดง คือใช้ชีวิตเหมือนคนที่ร่อนเร่พเนจรไปในโลก เมื่อสถานการณ์ที่ยากลำบากเข้ามากระทบแผนที่วางไว้ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทานอำนาจให้เราตอบสนองเช่นเดียวกับพระเยซูผู้เป็นแสงสว่างของโลก เพื่อเราจะสะท้อนพระลักษณะของพระองค์ที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืด ตามที่อัครทูตเปาโลกล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดมีค่าไปกว่าความสนิทสนมที่เรามีกับพระคริสต์และความชอบธรรมที่ได้มาโดยความเชื่อในพระองค์ (ฟป.3:8-9) ชีวิตของเปาโลพิสูจน์ให้เห็นว่าการรู้จักพระเยซูและฤทธิ์อำนาจแห่งการฟื้นคืนพระชนม์นั้นจะเปลี่ยนแปลงเรา และส่งผลต่อวิธีการดำเนินชีวิตและการตอบสนองของเราเมื่อมีการทดลองเข้ามา (ข้อ 10-16)

เมื่อเราใช้เวลากับพระบุตรของพระเจ้าทุกวัน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทานความจริงที่จำเป็นให้กับเรา เพื่อเราจะเผชิญความท้าทายทุกอย่างในโลกนี้ได้ด้วยท่าทีที่สะท้อนถึงพระลักษณะของพระคริสต์ (ข้อ 17-21) เราสามารถเป็นไฟนำทางแห่งความรักและความหวังของพระเจ้าที่ตัดผ่านความมืด จนถึงวันที่พระองค์ทรงเรียกเรากลับบ้านหรือวันที่ทรงเสด็จกลับมาอีกครั้ง

แข็งแกร่งดุจเหล็ก

ด้วงเกราะเหล็กได้ชื่อว่าเป็นแมลงที่มีเปลือกแข็งซึ่งปกป้องพวกมันจากผู้ล่า แต่ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของแมลงตัวนี้คือ มันจะมีความแข็งแกร่งมากกว่าปกติภายใต้แรงกดดัน เปลือกนอกที่แข็งของมันจะไม่แตก แต่จะยืดออกตรงจุดที่เป็นรอยต่อ แผ่นหลังที่แบนราบและเตี้ยของมันยังช่วยให้มันมีความทนทานต่อการแตกหัก จากการทดสอบทางวิทยาศาสตร์พบว่าด้วงเกราะเหล็กสามารถรับน้ำหนักที่กดทับลงมาบนตัวของมันได้เกือบ 40,000 เท่าของน้ำหนักตัว

เหมือนกับที่พระเจ้าสร้างแมลงตัวนี้ให้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ พระองค์ก็ประทานความสามารถในการยืดหยุ่นให้กับเยเรมีย์ด้วยเช่นกัน ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักเมื่อส่งข้อความที่ไม่น่าฟังไปยังอิสราเอล ดังนั้นพระเจ้าจึงสัญญาว่าจะสร้างท่านให้เป็น “เสาเหล็กและกำแพงทองสัมฤทธิ์” (ยรม.1:18) ท่านจะไม่ถูกบดขยี้ ถอดถอน หรือทำให้พ่ายแพ้ ถ้อยคำของท่านจะยืนหยัดอยู่ได้โดยการทรงสถิตและฤทธิ์อำนาจแห่งการช่วยกู้ของพระเจ้า

ในตลอดชีวิตนั้นเยเรมีย์ถูกใส่ร้าย ถูกจับกุม ถูกไต่สวน ถูกทุบตี ถูกคุมขังและโยนลงไปในบ่อน้ำแต่ยังรอดชีวิตมาได้ ท่านยังคงยืนหยัดแม้ภายในจะมีการต่อสู้อย่างหนัก ความสงสัยและความเศร้าโศกตามรังควาน การถูกปฏิเสธอย่างต่อเนื่องและความกลัวการรุกรานของบาบิโลนยิ่งทำให้ท่านตึงเครียดมากขึ้น

พระเจ้าทรงช่วยเยเรมีย์มาตลอดเพื่อไม่ให้จิตวิญญาณและคำพยานของท่านแตกเป็นเสี่ยง เมื่อเรารู้สึกอยากล้มเลิกภารกิจที่พระองค์ประทานให้ หรือออกจากการดำเนินชีวิตแห่งความเชื่อ ให้เราระลึกว่าพระเจ้าของเยเรมีย์ก็เป็นพระเจ้าของเราด้วย พระองค์สามารถสร้างเราให้แข็งแกร่งดุจเหล็ก เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าจะปรากฏเต็มที่นั่น (2 คร.12:9)

บิดาผู้ทรงเมตตา

หลังจากกาเบรียลวัยแปดขวบเข้ารับการผ่าตัดเอาเนื้องอกออกจากสมอง การผ่าตัดทิ้งรอยแผลเป็นไว้ที่ด้านข้างของศีรษะที่เห็นได้ชัด เมื่อเด็กชายพูดว่าเขารู้สึกเหมือนเป็นสัตว์ประหลาด จอชพ่อของเขาจึงเกิดความคิดที่จะแสดงให้เห็นว่าเขารักลูกชายมากแค่ไหน โดยการสักที่ด้านข้างของศีรษะตัวเองให้เหมือนกับรอยแผลเป็นของกาเบรียล

นี่เป็นความรักแบบเดียวกับที่ผู้เขียนสดุดีกล่าวไว้ถึงความรักของพระเจ้าที่ทรงเห็นใจและเมตตาสงสาร “บุตรของตน” (สดด.103:13) ดาวิดได้บรรยายให้เห็นภาพความรักของพระเจ้าโดยใช้ภาพเปรียบเทียบจากชีวิตมนุษย์ ท่านกล่าวว่า ความรักนี้อ่อนโยนเหมือนกับการที่พ่อที่ดีคนหนึ่งดูแลลูก (ข้อ 17) เฉกเช่นบิดาที่เป็นมนุษย์แสดงความเมตตาต่อลูกของเขา พระเจ้าพระบิดาในสวรรค์ของเราก็ทรงแสดงความรักและความห่วงใยต่อผู้ที่ยำเกรงพระองค์ฉันนั้น พระองค์เป็นพระบิดาผู้ทรงเมตตาและเห็นใจประชากรของพระองค์

เมื่อเราอ่อนแอและรู้สึกว่าตัวเองไม่น่ารักเพราะแผลเป็นชีวิต ขอให้เรารับความรักที่พระบิดาในสวรรค์มีต่อเราโดยความเชื่อ พระองค์ทรงสำแดงความเมตตาโดยส่งพระบุตรลงมาเพื่อ “สละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเราทั้งหลาย” (1 ยน.3:16) เพื่อให้เราได้รับความรอด การกระทำเพียงครั้งเดียวนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เราได้สัมผัสกับความรักของพระเจ้า แต่เรายังสามารถมองไปที่กางเขนและเห็นความรักนั้นได้ คุณไม่ดีใจหรือที่เรามีมหาปุโรหิตที่สามารถ “เห็นใจในความอ่อนแอของเรา” (ฮบ.4:15) พระองค์ทรงมีรอยแผลเป็นที่พิสูจน์ได้ถึงความรักนั้น

ผู้ที่สร้างฉัน

ตอนโทมัส เอดิสันอายุเจ็ดขวบ เขาไม่ชอบเรียนหนังสือหรือเรียนไม่เก่ง มีอยู่วันหนึ่งครูถึงกับเรียกเขาว่า “พวกโรคจิต” (จิตสับสน) เขากลับบ้านด้วยความโกรธ หลังจากพูดคุยกับครูในวันรุ่งขึ้น แม่ของเขาซึ่งเคยเป็นครูตัดสินใจที่จะสอนโทมัสเองที่บ้าน ด้วยความรักและกำลังใจจากแม่ (บวกกับอัจฉริยภาพที่พระเจ้ามอบให้) โทมัสจึงกลายเป็นนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ ในเวลาต่อมาเขาเขียน ว่า “แม่ของผมเป็นคนสร้างผมขึ้นมา เธอจริงใจและมั่นใจในตัวผมมาก และผมรู้สึกว่าจะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อใครบางคนที่ผมจะไม่ทำให้คนนั้นผิดหวัง”

ในกิจการ 15 เราอ่านพบว่า บารนาบัสและอัครทูตเปาโลรับใช้ด้วยกันในฐานะมิชชันนารีจนกระทั่งพวกเขาขัดแย้งกันอย่างหนักในเรื่องที่ว่าจะนำยอห์น มาระโกไปด้วยหรือไม่ เปาโลไม่เห็นด้วยเพราะมาระโกเคย “ละท่านทั้งสองเสียที่แคว้นปัมฟีเลีย” (ข้อ 36-38) ผลก็คือเปาโลกับบารนาบัสแยกทางกัน เปาโลไปกับสิลาสและบารนาบัสไปกับมาระโก บารนาบัสเต็มใจให้โอกาสมาระโกเป็นครั้งที่สอง และกำลังใจของท่านมีส่วนทำให้มาระโกสามารถรับใช้และประสบความสำเร็จในฐานะมิชชันนารี เขายังเป็นคนเขียนพระธรรมมาระโกและเป็นคนที่คอยหนุนใจเปาโลขณะที่ท่านอยู่ในคุก (2 ทธ.4:11)

พวกเราหลายคนที่มองย้อนกลับไปและพบว่ามีใครบางคนในชีวิตที่คอยให้กำลังใจและช่วยเหลือเราตลอดเส้นทาง พระเจ้าอาจกำลังเรียกให้คุณทำแบบเดียวกันกับบางคนในชีวิตของคุณ ใครกันคือคนนั้นที่คุณจะหนุนใจเขาได้

ถูกบดขยี้แต่ยังงดงาม

แวบแรกที่เห็นฉันไม่ได้สนใจภาพวาดชื่อ พิจารณาดอกลิลลี่ โดยมาโกโตะ ฟูจิมูระ เพราะเป็นภาพวาดสีเดียวที่ดูเรียบๆมีดอกลิลลี่ที่เหมือนจะซ่อนอยู่ในภาพพื้นหลัง แต่ภาพวาดนั้นกลับมีชีวิตขึ้นเมื่อฉันได้รู้ว่า แท้จริงแล้วภาพนี้ใช้แร่ธาตุที่บดอย่างละเอียดวาดซ้อนทับกันกว่า 80 ชั้นในรูปแบบของศิลปะญี่ปุ่นที่เรียกว่านิฮอนกะ ซึ่งฟูจิมูระเรียกว่า “ศิลปะแบบช้าๆ” เมื่อดูใกล้ๆจะเห็นถึงชั้นของความซับซ้อนและงดงามที่ฟูจิมูระอธิบายว่า เขาเห็นภาพสะท้อนของพระกิตติคุณในเทคนิคการสร้างสรรค์ “ความงามผ่านสิ่งที่แตกสลาย” เช่นเดียวกับที่ความทุกข์ทรมานของพระเยซูนำความสมบูรณ์และความหวังมาให้กับโลกใบนี้

พระเจ้าทรงรักที่จะใช้แง่มุมต่างๆในชีวิตเรา ในเวลาที่เราถูกบดขยี้และแตกสลาย เพื่อสร้างบางสิ่งที่งดงามขึ้นใหม่ กษัตริย์ดาวิดต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้าเพื่อซ่อมแซมชีวิตที่แตกสลายซึ่งย่อยยับจากฝีมือของตนเอง ในสดุดี 51 ที่เขียนขึ้นหลังจากดาวิดยอมรับว่าพระองค์ใช้อำนาจของกษัตริย์ในทางที่ผิด โดยการเอาภรรยาของชายอื่นมาเป็นของตนและจัดการสังหารสามีของเธอ ดาวิดได้มอบ “จิตใจที่สำนึกผิดและชอกช้ำ” (ข้อ 17) และวิงวอนขอความเมตตาจากพระเจ้า คำว่า “สำนึกผิด” ในภาษาฮีบรู คือ nidkeh แปลว่า “ถูกบดขยี้”

ก่อนที่พระเจ้าจะเปลี่ยนจิตใจของพระองค์ได้นั้น (ข้อ 10) ดาวิดต้องยอมถวายชิ้นส่วนที่แตกหักให้กับพระองค์เสียก่อน พระองค์ต้องยอมรับทั้งความเสียใจและไว้วางใจพระเจ้าไปพร้อมๆกัน ดาวิดมอบหัวใจให้กับพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อและให้อภัย ผู้ทรงรักที่จะเปลี่ยนสิ่งที่เคยถูกบดขยี้ให้กลายเป็นสิ่งที่งดงาม

ภาพเปรียบเทียบของการแต่งงาน

หลังจากใช้ชีวิตร่วมกันยี่สิบสองปี บางครั้งผมก็สงสัยว่าชีวิตแต่งงานของผมกับแมร์รินไปกันได้อย่างไร ผมเป็นนักเขียนแมร์รินเป็นนักสถิติ ผมทำงานกับภาษาแต่เธอทำงานกับตัวเลข ผมอยากได้ความสุนทรีย์แต่เธออยากได้การใช้งาน เราช่างมาจากโลกที่แตกต่างกัน

แมร์รินเป็นคนที่ไปถึงก่อนเวลานัด แต่ผมสายเป็นบางครั้ง ผมลองสั่งอาหารใหม่จากเมนูแต่เธอสั่งเหมือนเดิม หลังผ่านไป 20 นาที ที่งานแสดงศิลปะผมเพิ่งจะเริ่มสนุก แต่แมร์รินลงไปรอที่ร้านกาแฟเรียบร้อยคอยว่าผมจะอยู่อีกนานแค่ไหน เราต่างให้โอกาสกันอย่างมากเพื่อฝึกความอดทน!

เรามีสิ่งที่เหมือนกันด้วย ไม่ว่าจะอารมณ์ขันที่เหมือนกัน รักในการเดินทาง และมีความเชื่อเดียวกันซึ่งช่วยให้เราอธิษฐานในเวลาที่ต้องตัดสินใจและประนีประนอมเมื่อจำเป็น ความเหมือนเหล่านี้ทำให้ความแตกต่างของเรากลายเป็นประโยชน์ แมร์รินคอยช่วยให้ผมรู้จักผ่อนคลาย ในขณะที่ผมช่วยให้เธอมีวินัยมากขึ้น การปรับความแตกต่างของเราเข้าหากันทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น

เปาโลมีเหตุผลที่ดีที่ใช้การแต่งงานเป็นภาพเปรียบเทียบสำหรับคริสตจักร (อฟ.5:21-33) เพราะคริสตจักรนั้นคือการนำคนที่ต่างกันมากๆมาอยู่ร่วมกัน ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องฝึกความถ่อมใจและความอดทน เพื่อจะ “อดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก” (4:2) และเช่นเดียวกับการแต่งงาน ความเชื่อเดียวกันและการรับใช้ซึ่งกันและกันจะช่วยให้คริสตจักรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ (ข้อ 11-13)

ความแตกต่างในความสัมพันธ์อาจทำให้เกิดความไม่พอใจใหญ่โต แต่ถ้าจัดการให้ดีความต่างนั้นจะช่วยให้เราเป็นเหมือนพระคริสต์มากยิ่งขึ้น

พระคุณในการทดลอง

แอนนี่ จอห์นสัน ฟลิ้นต์ พิการด้วยโรคข้ออักเสบรุนแรงเพียงไม่กี่ปีหลังจบชั้นมัธยมปลาย เธอเดินไม่ได้อีกเลยและต้องให้คนอื่นช่วยเหลือในความต้องการด้านต่างๆ บทกวีและเพลงสรรเสริญของแอนนี่ทำให้มีผู้คนมากมายมาเยี่ยมเธอ รวมทั้งมัคนายิกาคนหนึ่งที่ท้อแท้ในการรับใช้ เมื่อมัคนายิกาคนนี้กลับไปบ้าน เธอเขียนมาถึงแอนนี่ว่าทำไมพระเจ้าจึงให้เกิดเรื่องร้ายแรงเช่นนี้กับชีวิตเธอ

แอนนี่ตอบกลับไปด้วยบทกลอนว่า “พระเจ้าไม่ได้ทรงสัญญาว่าท้องฟ้าจะเป็นสีฟ้าเสมอ หรือทางเดินจะโรยด้วยกลีบกุหลาบไปตลอดชีวิตของเรา...” เธอรู้จากประสบการณ์ว่าความทุกข์ยากมักจะเกิดขึ้นเสมอ แต่พระเจ้าจะไม่มีวันทอดทิ้งผู้ที่พระองค์ทรงรัก ทรงสัญญาว่าจะประทาน “พระคุณสำหรับการทดลอง ความช่วยเหลือจากเบื้องบน พระเมตตาไม่มีสิ้นสุด และความรักนิรันดร์” คุณอาจจำได้ว่านี่เป็นบทกลอนที่แต่งเป็นเพลงสรรเสริญชื่อ “สิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญา”

โมเสสเองก็พบกับความทุกข์ยากและปัญหา แต่ท่านรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย เมื่อท่านส่งต่อตำแหน่งผู้นำชนชาติอิสราเอลให้โยชูวา ท่านบอกชายหนุ่มผู้นี้ให้เข้มแข็งและกล้าหาญ เพราะ “ผู้ที่ไปกับท่านคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน” (ฉธบ.31:6) โมเสสรู้ว่าชนชาติอิสราเอลจะต้องเผชิญกับศัตรูที่น่าเกรงขามเมื่อพวกเขาเข้าไปยึดดินแดนแห่งพระสัญญา จึงกล่าวแก่โยชูวาว่า “อย่ากลัวและอย่าขยาดเลย” (ข้อ 8)

สาวกของพระเยซูคริสต์จะต้องพบกับความยากลำบาก แต่พวกเรามีพระวิญญาณของพระเจ้าที่จะปลอบโยนและหนุนใจเรา พระองค์จะไม่มีวันทอดทิ้งเรา

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา